ข้อควรรู้กับการเก็บรักษากาแฟคั่วบดให้คงคุณภาพได้นาน

ปัญหาของกาแฟคั่วและผ่านการ “บด” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือการเสื่อมสภาพที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหากไม่ใช้กากกาแฟเหล่านี้ในการชงให้หมดภายใน 2-3 วัน ยิ่งนานวันบวกกับการเก็บรักษาที่ไม่ดีพอ จะทำให้กลิ่นต่างๆ เข้ามาปะปนในน้ำกาแฟที่ผ่านการสกัด รสชาติของกาแฟที่ได้อาจจะเหลือแค่เพียงรสชาติขมๆ จืดชืด หรือจะเป็นรสเปรี้ยวและกลิ่นแปลกปลอมเข้ามาผสมอย่างน่าเสียดาย วันนี้เราเราได้นำ ข้อควรรู้กับการเก็บรักษากาแฟคั่วบดให้คงคุณภาพได้นาน มาให้ทุกท่านแล้ว ไปดูกันเลย

หลักในการจัดเก็บกาแฟที่ผ่านการคั่วและบด

หัวใจสำคัญของการป้องกันไม่ให้กากกาแฟทั้งหลายที่ยังไม่ถูกสกัดสูญเสียรสชาติเดิมแท้ไปอย่างรวดเร็ว ก็คือการพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้มันสัมผัสกับแสงแดด ความชื้นและความร้อนมากเกินไป หรือทางที่ดีก็ไม่ควรให้พบเจอกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้เลยจะเป็นการดีที่สุด

สำหรับใครที่ยังเก็บกากกาแฟไว้ในบรรจุภัณฑ์เดิม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถุงที่ออกแบบมาสำหรับใส่กาแฟคั่วบดโดยเฉพาะ จะต้องไล่อากาศภายในออกให้ได้มากที่สุด (จนกลายเป็นถุงสูญญากาศได้ยิ่งดี) จะช่วยคงสภาพของกากกาแฟให้สามารถนำมาใช้ในการชงได้ ซึ่งอาจจะสามารถเก็บได้เพิ่มขึ้น 3-4 วันหรือประมาณ 1 อาทิตย์ แล้วแต่สภาพของถุงและสภาพอากาศที่เก็บกากกาแฟ ดังนั้นหากใครใช้วิธีบรรจุในถุงเดิม ควรม้วนปากถุงหลายๆ ชั้น ให้มั่นใจว่ามันแน่นสนิทดี พันอีกรอบด้วยหนังยาง แล้วเก็บใส่ภาชนะทึบแสง ปิดฝาให้สนิท ก็จะช่วยเก็บรสชาติและกลิ่นของมันเอาไว้ได้นานขึ้น (ระวังภาชนะที่ใส่จะมีกลิ่นอับติดอยู่ภายใน อาจจะทำกลิ่นเหล่านี้เข้าไปปะปนกับกลิ่นของกาแฟเอาได้)

เมื่อเก็บใส่ภาชนะปิดฝาสนิทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (ยิ่งเป็นสูญญากาศยิ่งดี) ให้นำไปตั้งไว้ในสภาพอากาศแห้ง ไม่ร้อนชื้น และห้ามเอากากกาแฟไปแช่ในตู้เย็นเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดฝ้าและความชื้นภายในขวดได้ ที่สำคัญหลีกเลี่ยงแสงสว่างและกลิ่นต่างๆ ดังที่พยายามเน้นย้ำอยู่เสมอ เมื่อจะนำออกมาใช้ให้ตักเท่าที่ต้องการ จากนั้นก็ทำการปิดปากถุงและเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทดังเดิม

เพียงเท่านี้เราก็จะช่วยให้กาแฟคั่วบดสามารถเก็บรักษาได้นานขึ้นกว่าเดิม ทว่าทางที่ดีควรเลือกซื้อเป็นเมล็ดกาแฟคั่วเพียงอย่างเดียวจะดีกว่า เมื่อต้องการดื่มให้นำมาบดเท่าที่จำเป็นต้องใช้ จะช่วยให้เราได้รับรสชาติและกลิ่นที่หอมละมุนของกาแฟได้อย่างเต็มที่