คุณรู้เรื่อง กาแฟ รึยัง ?
กาแฟ ประวัติศาสตร์ อ้างอิงขึ้นว่า มีการค้นพบว่า กาแฟ เป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนีย (Abyssinia) และอาราเบีย (Arabia) จากประเทศอาระเบีย (Arabia) เมื่อปี ค.ศ 575 และกลุ่มหนึ่ง ก็ได้กล่าวว่า กาแฟ เป็นพืชพื้นเมืองที่ค้นพบในเมือง คัพฟา (Kaffa) ซึ่งอยู่ในประเทศ เอธิโอเปีย (Ethiopia) โดยการดื่มกาแฟ จะเน้นแถบดินแดนตะวันออกกลาง เนื่องจาก เป็นถึ่งกำหนิด และมีการค้าแบบผูกขาดที่สำคัญ ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังอาณานิคมตะวันตก และในภูมิภาคอื่น ๆ แต่ในยุคตะวันออกกลางสมัยนั้น ยังไม่มีใครสนใจ หรือให้ความคนพืชชนิดนี้มากนัก แต่ต่อมากในช่วงคตวรรษที่ 9 ในตะวันออกกลาง ได้มีชาวพื้นเมือง นิยมเลี้ยงแพะส่วนใหญ่ นาย คาลดี (Kaldi) ชาวอาราเบีย ได้นำแพะออกไปหาอาหารตามปกติ แพะตัวหนึ่งได้กินผลไม้สีแดง เม็ดขนาดใหญ่ ต่อมาไม่นาน แพะตัวนั้นก็วิ่งด้วยความคึกคะนองอย่างมาก โดยผิดปกติจากเดิม คาลดี (Kaldi) จึงได้นำผลไม้จากต้นที่ แพะได้กินไปนั้น มากะเทาะเปลือก แล้วนำเมล็ดไปคั่ว จากนั้นต้มด้วยน้ำร้อน เมื่อดื่มแล้วเห็นได้ว่า มีความกระปรี้กระเปร่า จึงนำไปเล่าให้คนอื่นฟัง ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักของชาวอาราเบีย

ประวัติความเป็นมาของ กาแฟ
กาแฟ เครื่องดื่มยอดฮิตในใจของผู้เสพติดคาเฟอีน ด้วยกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติเข้มข้นเฉพาะตัว คอกาแฟหลายคนปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ต้องได้ดื่มเครื่องดื่มแก้วโปรดอร่อย ๆ ทุกเช้า ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างสดชื่นได้ หรือตกบ่ายมาต้องมีกาแฟดี ๆ สักแก้วเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวพร้อมทำงานต่อไป ซึ่งในปัจจุบันมีกาแฟให้เลือกมากมาย ทั้งแบบร้อน แบบเย็น สูตรต่าง ๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีรสชาติที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งวันนี้เราจะมีเรื่องราวน่ารู้ของกาแฟ ตั้งแต่ต้นกำเนิดกาแฟ รวมถึงสูตรกาแฟอร่อย ๆ ที่สามารถทำเองได้ที่บ้านได้
ประวัติของกาแฟ นานาชนิด
กาแฟ เอสเพรสโซ่
- เอสเพรสโซ่
เอสเพรสโซ่ เป็นกาแฟที่มีต้นกำเนิดมาจากอิตาลี ซึ่งปรากฏครั้งแรกในช่วง ศตวรรษที่ 20 ช่วงนั้น ประเทศอิตาลี นิยมดื่มกาแฟมาก ถือเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันเลยก็ว่าได้ โดยคนที่คิดค้น คือ ลุยจิ เบเซร่า (Luigi Bezzera) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงงาน ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี แต่คนที่นำ กาแฟ เข้ามาที่ประเทศอิตาลี จริง ๆ เป็นชาวมุสลิม โดยเรื่องราวของ ลุยจินั้น คือเป็นคนชอบกาแฟอยู่แล้ว ในทุกๆเช้า ลุยจิจะดื่มกาแฟก่อนออกไปทำงานทุกวัน แต่เขาก็ได้เสียเวลากับการชงกาแฟอย่างมากในแต่ละวัน เขาจึงมีไอเดียในการคิดค้นเครื่องมือที่จะเป็นตัวช่วยเรื่องกาแฟของเขาในทุก ๆ เช้า ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ลุยจิจึงได้สร้างเครื่องชงกาแฟ โดยตั้งชื่อว่า “Fast Coffee Machine” โดยภาษาอิตาลี เรียกว่า Espresso ซึ่งมีความหมายว่า “เร็ว” “รวดเร็ว” และนี่จึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของกาแฟที่คนทั่วโลกรู้จักกันต่อมาในชื่อ กาแฟเอสเพรสโซ่
ต่อมาในช่วง 1905 น่าเสียดายมากเมื่อ ลุยจิ เบเซร่า (Luigi Bezzera) ได้ตัดสินใจขายเครื่องชงกาแฟของเขาให้กับ เดซิเดอโร่ ปาโวนี่ (Desidero Pavoni) ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการตลาดสูง แต่ ลุยจิ เบเซร่า (Luigi Bezzera) เขาไม่มีความรู้เรื่องของการตลาดนั้นเลย เมื่อเครื่องชงกาแฟ เป็นของ เดซิเดอโร่ ปาโวนี่ (Desidero Pavoni) เขาได้ทำการจดสิทธิบัตรเครื่องนี้อย่างเป็นทางการ ต่อมาไม่นานด้วยความรู้ทางการตลาดของเขา จึงทำให้กาแฟพร้อมเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่เริ่มได้รับความนิยม และแพร่หลายในสหรัฐ ตั้งแต่ช่วง 1927 หลังจากนั้น กาแฟเอสเพรสโซ่ได้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก
โดยปัจจุบันกาแฟเอสเพรสโซ่ ได้มีการปรับเปลี่ยน ดัดแปลงสูตรต่างๆ พร้อมผสมผสานส่วนต่างๆ มากมายแล้วแต่ความชื่นชอบของคนในพื้นที่นั้นๆ อย่างเช่นคนอังกฤษนิยมผสมกับนมและฟองนม คนอังกฤษเรียกว่า คาปูชิโน่ หรือ ประเทศสหรัฐอเมริกาที่นำไปผสมนม จึงเรียกว่า ลาเต้ และอีกมากมายหลายชนิด บางชนิดที่เรายังไม่รู้จักกันเลยก็มี กาแฟเอสเพรสโซ่ ถือเป็นต้นกำเนิด หรือต้นตำหรับของกาแฟหลายๆ ชนิดทั่วโลก แล้วแต่ความชอบของคนพื้นที่นั้นๆ จึงทำให้ยุคนี้มีกาแฟรสชาติดีๆ ดื่มมากมาย ถือเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างกันไป แต่สำหรับ กาแฟเอสเพรสโซ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ นั้นคือรสชาติ กาแฟ รสเข้มนั้นเอง
กาแฟ ลาเต้อาร์ต
- ลาเต้
ลาเต้ Latte Art มีจุดเริ่มต้นมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในเมืองซีแอตเทิล จากร้านกาแฟ Espresso Vivace ของเดวิด โชเมอร์ ( David Schomer ) โดยเมืองนี้ เป็นเมืองของสตาร์บัคส์ กับไมโครซอฟท์ด้วย โดยประวัติของ เดวิด โชเมอร์ ( David Schomer ) เขาได้เรียนจบดนตรีคลาสสิก ซึ่งเดวิดอยากจะเป็นนักเป่าฟลุตมืออาชีพ แต่สุดท้ายเขาก็ได้ไปทำงานอยู่ในกองทัพ จนกระทั่งเกษียณจากการเป็นทหารได้อายุ 50 ปี หลังจากการเป็นทหาร เดวิค ก็ได้เปิดร้านกาแฟเคลื่อนที่ ในปี 1988 ย่าน Capital Hill เดวิคอยากทำให้ กาแฟ ของเขาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เขาจึงสร้างความแตกต่าง ซึ่งมีความสนใจด้านงานศิลปะ เดวิคเคยพูด : “กาแฟเริ่มกลายเป็นงานศิลปะของผม ผมเริ่มหลงใหลมัน” จึงทำให้เดวิคพยายามหาจุดแต่ต่างให้ กาแฟ เขาเริ่มทดลองหลายๆแบบ ให้ลูกค้าประทับใจ เขาได้ทดลองเกี่ยวกับการรักษาอุณหภูมิของน้ำร้อน เพื่อเพิ่มรสชาติความหวานให้กับ เอสเพรสโซ่ โดยการรักษาอุณภูมิให้ร้อนคงที่ไประยะเวลาหนึ่ง เดวิค ก็ถูกพูดถึงว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบ ลาเต้อาร์ต ที่นิยมและพูดถึงกันอย่างกว้างขวางช่าง ทศวรรษ 1990 จนถึงปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกา โดยกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเดวิค
ลาเต้อาร์ตลายแรกก็คือ รูปหัวใจ เครื่องดื่มกาแฟที่ผสมนมร้อน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้ รู้จักกันในชื่อ “caffe e latte” นั้นคือ กาแฟ กับนม โดยจะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยพร้อมรินนมลงบนกาแฟ ให้เกิดลวดลายต่างๆ นั้นคือศิลปะในถ้วย กาแฟ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art)
กาแฟ อเมริกาโน่
- อเมริกาโน่
อเมริกาโน่ มีจุดเริ่มต้นมาจากสหรัฐอเมริกา ถึงแม้กาแฟส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจากประเทศอิตาลี ในยุคที่มีการแพร่หลายของกาแฟมากขึ้น สหรัฐอเมริกา ก็เริ่มมีการแพร่หลายเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน รวมถึงอำนาจความสามารถในด้านอื่นๆ ด้วย กาแฟอเมริกาโน่ คือ เอสเพรสโซ่ ที่เข้มข้นเพิ่มน้ำร้อนเป็นส่วนผสมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคนในสหรัฐอเมริกามีการดื่มกาแฟตลอดทั้งวันไม่จำกัดเวลาหรือเป็นมื้อเลยก็ว่าได้ โดยในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารอเมริกันออกไปสู้รบในประเทศอิตาลี โดยทหารอเมริกัน ก็มีการดื่มกาแฟอยู่ตลอดเช่นกันจนทำให้ฝ่ายกองสนับสนุนได้เตรียมกาแฟคั่วมาเพื่อนำเป็นเสบียงให้กับกองทัพของอเมริกัน ให้สามารถดื่มกาแฟได้ตลอดทั้งวัน เมื่อมีการรบในประเทศอิตาลีเป็นเวลานานจึงทำให้กาแฟที่เป็นเสบียงเริ่มหมดไปเรื่อยๆ ทหารอเมริกันจึงต้องพึ่งพากาแฟท้องถิ่นนั้นๆ แต่ว่าได้ดื่ม เอสเพรสโซ่
ที่มีความเข้มข้นมากทำให้ไม่ถูกปากจึงเติมน้ำร้อนไปเพื่อลดความเข้มให้เจือจางลง เมื่อสงครามจบลง ชาวยุโรปกับอเมริกาก็ได้พากันดื่มเอสเพรสโซ่ของชาวอิตาลีที่มีความ ขม รสชาติเข้มข้นเกินไปทำให้รู้สึกไม่ชอบ ทำให้ บาริสต้า เลือกที่จะเติมน้ำร้อน เพื่อให้รสชาติลดความเข้มลง ให้กินง่ายกว่าเดิม ชาวอิตาลีจึงได้เรียกว่า อเมริกาโน่ หมายถึง อเมริกัน เป็นเครื่องดื่มเฉพาะของคนอเมริกัน โดยปกติคนอเมริกันจะมีการดื่มกาแฟมื้อเช้า ไม่ค่อยแรงมาก คือ คาปูชิโน่ ส่วนตอนบ่ายจะต้องดื่มเข้มๆเพื่อกระตุ้นตัวเองให้กระฉับกระเฉง จึงเลือกเป็น เอสเพรสโซ่ เติมน้ำร้อนเข้าไปแทน จึงกลายมาเป็น อเมริกาโน่ โดยเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตทั่วทุกมุมโลกในปัจจุบัน
กาแฟ มอคค่า
- มอคค่า
กาแฟมอคค่า โดยต้นกำเนิด อยู่ที่ประเทศเยเมน ริมทะเลแดง เป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ส่งออกกาแฟแบบผูกขาดในคาบสมุทรอาหรับ โดยประเทศกาแฟทั้งในตะวันออกกลาง รวมถึงแอฟริกา ไม่ประสบความสำเร็จในการส่งออก จากประเทศเยเมน โดยประเทศเยเมนมีท่าเรือมอคค่า ที่ส่งออกหลักใกล้ทะเลแดง เมื่อส่งออกไม่ได้ ก็ทำให้กาแฟส่วนใหญ่ ไปกระจุกกันที่ท่าเรือมอคค่า และเมื่อส่งออกไปยังแอฟริกา จึงทำให้คนส่วนใหญ่ เรียกกันว่า กาแฟมอคค่า แต่ถ้าย้อนกลับไปในต้นกำเนิด กาแฟ มอคค่า เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ ซอลช็อคโกแลค ช็อคโกแลต วิปปิ้งครีม นม เป็นที่ทราบกันดีว่าเมล็ดมอคค่ามีรสช็อกโกแลตตามธรรมชาติ ในปัจจุบันนี้ ชื่อมอคค่าไม่ได้หมายถึงเมล็ดกาแฟเหล่านี้ แต่เป็นการเติมรสช็อกโกแลตในเครื่องดื่มกาแฟ โดยมอคค่า ก่อนหน้านี้ ชื่อว่า มอคค่าพอร์ด ก่อนจะมาเป็น กาแฟมอคค่า ในปัจจุบัน
กาแฟ คาปูชิโน่
- กาแฟคาปูชิโน่
ที่มาดั่งเดิมเป็นเครื่องดื่มที่ชื่อว่า Kapuziner เป็นกาแฟแบบเวียนนาเกิดขึ้นช่วงทศวรรษ 1700 ซึ่งในเวลาเดียวกันก็มีกาแฟอีกชนิดหนึ่งที่เรียก Franziskaner เป็นกาแฟดั่งเดิมที่มีการผสมผสานระหว่างครีมกับน้ำตาล
เป็นกาแฟอิตาลีที่ผสมกับกาแฟเอสเพสโซ่ กับนมที่มีฟองไอน้ำในปริมาณเท่ากันกาแฟมีสีน้ำตาลเข้มจึงเรียกว่า คาปูชิโน่ โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับเครื่องนุ่งห่มของนักบวช Capuchin เมื่อชาวคาปูชินได้เข้ามามีบทบาท
ในประเทศอิตาลี ชาวบ้านรู้สึกว่าการแต่งกายของนักบวชมีความพิเศษมาก เสื้อคลุมหลวมๆ หมวกทรงแหลมเล็กๆ โดยคาปูชิโน่มาจากรากศัพท์คือ ผ้าโพกหัวของอิตาลี กระทั่งการกลายมาเป็นกาแฟคาปูชิโน่แบบที่เรารู้จักทุกวันนี้ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกทางตอนเหนือของอิตาลีช่วงทศวรรษ 1930 ในขณะเดียวกัน กาแฟ มีชื่อคาปูชิโน่ยังเกี่ยวข้องกับชื่อลิง มีลิงขนาดเล็กในแอฟริกาที่มีขนรูปกรวยสีดำเป็นพวงที่ด้านบนของศีรษะ เหมือนกับหมวกแหลมเล็กๆ ลิงชนิดนี้จึงได้รับการตั้งชื่อว่า คาปูชิน ด้วยเหตุนี้ชื่อลิงนี้มีขึ้นครั้งแรก ใช้โดยชาวอังกฤษในปีค.ศ.1785 นั่นเอง
กาแฟ มัคคิอาโต้
- มัคคิอาโต้
- มัคคิอาโต้
ที่มาดั่งเดิมมาจากบาริสต้า ที่พยายามคิดค้นถึงความแต่กต่างระหว่าง ช็อตเอสเพรสโซ่กับเอสเพรสโซ่ที่ใส่นมเล็กน้อย จากนั้นการเติมนมทำให้เกิด รอยด่าง หรือรอยเปื้อน มัคคิอาโต หมายถึง รอยเปื้อน เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ในภาษากาแฟ จึงมีความหมายว่า จุดแต้ม มัคคิอาโต จึงเป็นกาแฟที่หยอดแต้มฟองนมจำนวนเล็กน้อยลงบนครีมาสีทองอมน้ำตาลของเอสเพรสโซ่ ก่อนหน้านี้ก็ใช้ช้อนตักฟองนมแล้ววางเบาๆ ให้ฟองนมก้อนกลมๆ สีขาว ลอยเด่นอยู่เหนือผิวเอสเพรสโซ่ ช่วยคงให้รสชาติเอสเพรสโซ่ โดดเด่น มัคคิอาโตเหมาะสำหรับผู้ที่คิดว่าเอสเพรสโซ่มีรสชาติที่เข้มเกินไป และคาปูชิโน่ก็อ่อนเกินไป
กาแฟ อัฟโฟกาโต้
เป็นเมนูที่ทำง่าย แต่สุดคลาสสิค เพิ่งเกิดขึ้นในอิตาลี ในดิกชันนารี Merriam Webster Dictionary Affogato ปรากฎครั้งแรกในภาษาอังกฤษเมื่อปี ค.ศ. 1992 แต่ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา เป็นที่นิยมของอเมริกามาก ตามร้านกาแฟ แทบจะมีเมนูนี้เกือบทุกร้านเลย แต่ในไทยอาจจะหาได้ยากมาก เพราะไม่ค่อยนิยมเท่าไร อัฟโฟกาโต้ เป็นเครื่องดื่ม ของอิตาลีมาจับคู่ผสมผสาน กาแฟ ‘เอสเพรสโซ’ อันหอมเข้มข้น กับไอศกรีม ‘เจลาโต้’ (Gelato) อัฟโฟกาโต้ มาจากภาษาอิตาลีที่แปลว่า ถูกทำให้จม กาแฟใส่ไอศกรีม โดยจะเสิร์ฟเป็นช็อต ของกาแฟเอสเพรสโซ่ ที่มาพร้อมกับไอศกรีมวานิลลา
เมนูกาแฟยอดนิยม

เอสเพรสโซ่คืออะไร
เอสเพรสโซ่ กาแฟที่ถูกดันออกมาด้วยแรงดันจากน้ำร้อนที่กำลังเดือด ให้ผ่านตัวกาแฟที่บดละเอียดอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ดื่มได้รับรสชาติแท้ที่จริงของเมล็ดกาแฟอย่างเข้มข้นโดยที่ไม่ผสมอะไรลงไปปรุงแต่งเพิ่มเติม ทั้งสิ้น จะมีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

ลาเต้คืออะไร
ลาเต้ กาแฟลาเต้คือกาแฟที่มีส่วนผสมผสานไปด้วย เอสเพรสโซ่กับนม โดยรินนมอุ่น ๆ ในปริมาณมาก และขั้นสุดท้ายใส่ฟองนมไล่ระดับชั้นบาง ๆ ที่ด้านบน นับเป็นงานศิลปะชนิดหนึ่งเลย

อเมริกาโน่คืออะไร
อเมริกาโน่ กาแฟที่เป็นที่นิยมของชาวอเมริกัน จะมีการลดความเจือจางของ เอสเพรสโซ่ โดยการเติมน้ำร้อน ซึ่งจะเติมน้ำร้อน 2 ใน 3 ส่วน เอสเพรสโซ่ อีก 1 ส่วน

มอคค่าคืออะไร
มอคค่าจะแต่กต่างออกไป ซึ่งเอสเพรสโซ่หนึ่งช็อตผสมกับผงช็อกโกแลตหรือน้ำเชื่อม ตามด้วยการใส่นมหรือครีม มีกลิ่นและรสชาติจากช็อกโกแล็คอย่างชัดเจน โดยต้นกำเนิดจากท่าเรือเยเมน

คาปูชิโน่คืออะไร
กาแฟคาปูชิโน่ กาแฟผสานฟองนม สัมผัสสุดนุ่ม กลิ่นหอมละมุน รสชาติเข้มข้น แต่ไม่เปรี้ยวและมีรสชาติหวานมันจากนมเล็กน้อย เป็นกาแฟที่มีองค์ประกอบและแยกส่วนได้ลงตัว

มัคคิอาโตคืออะไร
มัคคิอาโต ที่มาดั่งเดิมมาจากบาริสต้า ที่พยายามคิดค้นถึงความแตก ต่างระหว่าง ช็อตเอสเพรสโซ่กับเอสเพรสโซ่ที่ใส่นมเล็กน้อย จากนั้นการเติมนมทำให้เกิด รอยด่าง หรือรอยเปื้อน
ประเภทของกาแฟ

กาแฟดำ
กาแฟดำ เป็นกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมใดๆเลย ไม่ใส่นม ไม่มีน้ำตาล ชงด้วยวิธีการผ่านน้ำร้อน ค่อยๆให้น้ำร้อนซึมผ่านกาแฟคั่วบดอย่างช้าๆ เพราะ จะได้กาแฟดำที่มีความเข้มและรสชาติค่อนข้างขมอมเปรี้ยว การดื่ม กาแฟดำยังได้ลิ้มรสกาแฟแบบเน้น ๆ พร้อมด้วยกลิ่นหอมที่ชัดเจนด้วย และยังเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มนักออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และกาแฟดำยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

กาแฟขาว
กาแฟขาว เป็นชาสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่มีต้นกำเนิดในเมืองเบรุต เป็นนิยมดื่มกันมากในประเทศเลบานอนและซีเรีย นิยมทานคู่กับ ขนมหวาน ในประเทศทางยุโรปบางประเทศ จะกล่าวถึง ไวต์คอฟฟี (white coffee) ในลักษณะของกาแฟใส่นม ในขณะเดียวกันไวต์คอฟฟีในสหรัฐอเมริกา จะหมายถึง กาแฟที่กลั่นไว้นานจนมีสีคล้ายกับสีเหลือง

กาแฟเจ
กาแฟเจ นั้นมีอยู่ สำหรับคอกาแฟทั้งหลายที่อยากทำบุญ งดเว้นเนื้อสัตว์ แต่ก็ยังติดการดื่มกาแฟอยู่ โดยกาแฟเจนั้นจะใช้ "นมถั่วเหลือง" เป็นส่วนผสมแทน "นมวัว" ซึ่งตรงซองจะมีเส้นสีเหลืองคาด หรือติดสัญลักษณ์เจสีเหลือง ๆ ไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะหาซื้อยาก เพราะช่วงเทศกาลกินเจทุกปีจะมี "กาแฟเจ" ออกมาวางขายเอาใจคอกาแฟอยู่แล้ว แต่ต้องดูดีๆนะครับ ถ้าไม่มีเส้นสีเหลือง หรือสัญลักษณ์กินเจติดอยู่ อาจจะไม่ใช่กาแฟเจ

กาแฟโบราณ
ในช่วงสงครามโลก เมล็ดกาแฟขาดแคลน และมีราคาแพง พ่อค้ากาแฟจึงพยายามนำส่วนของพืชชนิดต่าง ๆ มาผสมลงในกาแฟ หรือนำมาทดแทนเมล็ดกาแฟ เพื่อลดปริมาณการใช้กาแฟแท้ลง เป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ปรากฏในตลาดการค้ามานานกว่าร้อยปีแล้ว ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ดื่มที่ไม่ชอบความขมของกาแฟ กลุ่มผู้ดื่มที่ไม่ประสงค์จะบริโภคคาเฟอีน หรือกลุ่มผู้ดื่มบางลัทธิที่มีข้อห้ามในการดื่มสิ่งที่อาจมีสารเสพติด สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมการผลิตกาแฟได้เริ่มต้นขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เมล็ดกาแฟมีราคาแพงมาก จึงนำเมล็ดธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว มาคั่ว-บด ผสมลงในกาแฟด้วย เพื่อลดปริมาณต้นทุน
วิธีการชงกาแฟแบบต่างๆ
การชง กาแฟ แบบ French press
รูปแบบการชง กาแฟ แบบ French press
- เฟรนซ์เพรส (French Press) มีต้นกำเนิดจากประเทศฝรั่งเศส
- เตรียมกาแฟและน้ำ สำหรับน้ำใช้น้ำร้อนประมาณ 93 องศา
- บดผงกาแฟให้มีขนาดหยาบ
- ชงขณะเทน้ำพยายามเทน้ำให้แรง และโดนขอบด้านใดด้านหนึ่งเพื่อให้เกิดน้ำวน ทำให้ผงกาแฟเปียกโดยทั่ว
- พักทิ้งไว้ รอประมาณ 4 นาที
- กดตัวกรองเพื่อแยกกากกาแฟกับน้ำกาแฟออกจากกัน
- เสิร์ฟกาแฟในสไตล์คุณ
การชงกาแฟแบบ Pour - over หรือ Filter brewers หรือ Drip (ดริป)
รูปแบบการชงกาแฟแบบ Drip
- เทน้ำครั้งแรกทั้งหมด 60 กรัม พร้อมกับคนให้ผงกาแฟเปียกทั่วกัน-และรอประมาณ 40 วินาที
- เมื่อครบ 40 วินาที เราก็จะเทน้ำลงไปอีก 60 กรัมและรออีก 40 วินาที
- เมื่อเวลาครบ 1.20 นาที เราก็จะเทน้ำลงไปอีก 60 กรัม และรออีก 40 วินาที
- เมื่อเวลาครบ 2 นาที เราเทน้ำลงไป 80 กรัมและรอประมาณ 30 วินาที
- เมื่อเวลาครบ 2.30 นาที เราจะเทน้ำลงไปอีก 80 กรัมและรอประมาณ 30 วินาที
- เสิร์ฟกาแฟในสไตล์คุณ
การชงกาแฟแบบ Aeropress
รูปแบบการชงกาแฟแบบ Aeropress
- ใส่กระดาษกรองในตะแกรง ทำการลวกด้วยน้ำร้อน พร้อมทั้งลวกอุปกรณ์ชงอื่นๆ
- เพื่อล้างและวอร์มให้อุ่นพร้อมสำหรับการชงกาแฟ
- จากนั้นประกอบ Aeropress ในลักษณะกลับด้าน
- วางบนอุปกรณ์ลงบนตราชั่ง ใส่ผงกาแฟลงไป 30 กรัม
- เทน้ำร้อนลงไป 240 กรัม อุณหภูมิของน้ำร้อนที่เหมาะสมในการสกัดกาแฟ
- ต้อง 85-95 องศาเซลเซียส หลังจากที่เทน้ำร้อนครบแล้ว คนกาแฟเบาๆ 7-10 ครั้ง
- แช่ทิ้งไว้ ประมาณ 1-2 นาที
- หลังจากครบระยะเวลาที่ต้องการแล้ว ให้ยกออกจากตาชั่ง พลิก Aeropress และกดลูกสูบลงจนน้ำกาแฟหยดลงไปในแก้วรองกาแฟจนหมด
- เสร็จพร้อมเสริร์ฟ
การชงกาแฟแบบ Moka pot
รูปแบบการชงกาแฟแบบ Moka pot
- เติมน้ำลงในฐานของ อุปกรณ์ เติมน้ำให้อยู่ใน ระดับต่ำกว่าวาล์วเล็กน้อย
- ใส่ผงกาแฟลงในตะแกรงของอุปกรณ์ที่มีมาอยู่แล้ว เกลี่ยกาแฟห้เรียบไม่จำเป็นต้องกด (แทมป์)
- จากนั้นวาง Moka Pot บนเตาไฟ
- วิธีการชงด้วย Moka Pot เราจะต้องทำการดูปริมาณน้ำที่สกัดออกมาเท่านั้น
- เปิดฝาทิ้งไว้เพื่อดูปริมาณน้ำที่สกัดออกมา
- น้ำที่ต้มอยู่ถึงจุดเดือดจะทำให้เกิดแรงดัน น้ำจะไหลผ่านผงกาแฟขึ้นมาทำให้เกิดการสกัดตัว
- สีของน้ำกาแฟซีด จากนั้นให้ปิดเตา
- เสร็จพร้อมเสิร์ฟ
การชงกาแฟแบบ Vacuum pot หรือ Syphon
รูปแบบการชงกาแฟแบบ Vacuum pot หรือ Syphon
- การเตรียมผ้ากรองให้ถูกต้อง ถ้าหากผ้ามัดไม่แน่น หรือเก็บด้ายไม่ดีจะส่งผลให้การไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป
- ใส่ผ้ากรองลงไปใน Upper Bowl ดึงตะขอมาเกี่ยวกับท่อด้านล่าง และจัดผ้าให้ตรง
- เตรียม กาแฟ 16 กรัม บดละเอียดให้ขนาดเล็กกว่าน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย
- เติม น้ำร้อน 240 มิลลิลิตร ลงใน Siphon และนำ Siphon ไปตั้งไฟ
- ใส่ Upper Bowl ไว้แบบหลวมๆ
- เมื่อน้ำเริ่มเดือด ใส่ Upper Bowl ให้แน่น น้ำจากLower Bowl จะเริ่มขึ้นมาด้านบน
- ใส่กาแฟที่บดเตรียมไว้ลงใน Upper Bowl และคนไปทางเดียวกัน 10 ที ให้ผงกาแฟเปียก
- รอ 40 วินาที ก่อนที่จะคนกาแฟอีก 5 รอบ จากนั้นจึงปิดไฟและยกออกจากเตา
- ยกลงให้ใช้ผ้าเย็นลูบที่ Lower Bowl เพื่อให้กาแฟจาก Upper Bowl ลงมาไวขึ้น
- เสิร์ฟ
สายพันธุ์กาแฟ ชนิดของเมล็ดกาแฟ
ถ้าพูดถึงสายพันธุ์กาแฟ ชนิดของเมล็ดกาแฟ คนส่วนใหญ่จะรู้ว่ามีแค่ 2 พันธุ์ เพราะมีการพูดถึงกันปากต่อปาก คือ กาแฟอราบิก้า (Arabica) และ กาแฟโรบัสต้า (Robusta) ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะรู้อย่างนั้น เพราะ 2 สายพันธุ์มีรสชาติที่ติดปาก และผลผลิตดีรองรับผู้ดื่มทั่วโลก แต่จริงๆ แล้วมีมากกว่า 2 สายพันธุ์ เราไปดูกันดีกว่าว่ามีกี่สายพันธุ์
กาแฟอราบิก้า (Arabica)
ถิ่นกำเนิดอยู่บริเวณที่ราบสูงของเอธิโอเปีย เป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยาก ลักษณะลำต้นจะสูงกว่าเป็นพุ่มไม้ขนาดกลาง ส่วนใหญ่ถ้าปลูกในไทย จะนิยมปลูกภาคเหนือ ปลูกในเขตพื้นที่สูง ซึ่งเหนือกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,300 เมตรขึ้นไป ปลูกในอากาศหนาวเย็น สัดส่วนของสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้านี้ยังมีมากถึง 70 เปอร์เซ็นของพื้นที่เพาะปลูกเมื่อเทียบกับโรบัสต้าแล้วว่าผลลิตที่ได้ให้ปริมาณน้อย เติบโตช้า สายพันธุ์กาแฟอราบิก้าเป็นที่นิยมและขายได้มากที่สุดในโลก เฉลี่ยถึง 80%
กาแฟโรบัสต้า (Robusta)
สามารถปลูกบนพื้นที่ที่ต่ำ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าธรรมชาติ อาฟริกา โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นประมาณ 2-4 เมตร ในปัจจุบันเพาะปลูกกันมากในเขตร้อนชื้น ในไทยนิยมปลูกภาคใต้ ในอากาศร้อนชื้น สายพันธุ์โรบัสต้ามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ทำให้สามารถปลูกได้ตั้งแต่ 200-800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ราบได้ดีกว่ากาแฟสายพันธุ์อาราบีก้า
กาแฟลิเบอริก้า (Liberica)
กาแฟลิเบอริก้า มีคนเคยกล่าวว่า เป็นกาแฟที่โลกลืม เพราะเพียงเม็ดกาแฟเบอริก้าอย่างเดียว ไม่นิยมนำไปดื่ม มีต้นกำเนิดของพันธุ์มาจากแอฟริกา เป็นพันธุ์กาแฟพื้นเมืองของแองโกล่า กาแฟลิเบอริก้า (Liberica Coffee) เป็นสายพันธุ์กาแฟที่สามารถปลูกและดูแลได้ง่ายเหมือนกับโรบัสต้า คุณภาพของกาแฟไม่ค่อยดีนัก ส่วนใหญ่กาแฟลิเบอริก้าจะถูกนำไปผสมกับเมล็ดกาแฟชนิดอื่นเพื่อให้ได้กลิ่นและรสชาติที่มีความแตกต่างออกไป กาแฟลิเบอริก้าเป็นพันธุ์ไม้ป่าที่ต่ำ เขตรัอนชื้น ต้องการปริมาณน้ำฝนมาก และอุฌหภูมิสูง ต้องการร่มเงาเล็กน้อย ปลูกได้ในดินชนิดต่างๆ จากดินร่วนจนถึงดินเหนียว
กาแฟเอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa)
สายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa)” ไม่ค่อยจะมีคนนิยมปลูกหรือพูดถึงมากนักซักเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่มักจะพบในประเทศแอพฟริกา เมล็ดกาแฟสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะที่มีรูปร่างภายนอกของเมล็ดคล้ายกับเมล็ดและรสชาติของโรบัสต้า แต่ก็ยังไม่ได้รับความนิยม ปลูกง่าย ดูแลง่ายมาก และที่พิเศษไปกว่านั้นคือต้นเมล็ดกาแฟ ยังสามารถทนต่อความแห้งแล้ง ทนโรคที่เกิดจากต้นกาแฟได้ดี พร้อมสภาพดินฟ้าอากาศที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ แถมยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย
กาแฟ ประโยชน์มีอะไรบ้าง
กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายคนดื่มในยามเช้าหรือยามง่วงนอน เพื่อปลุกสมองให้ตื่นตัว คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และนอกจากประโยชน์ที่คุ้นเคยทางการแพทย์และทางสุขภาพของกาแฟนั้นมาจากคาเฟอีน สารกระตุ้นที่พบได้สูงจากกาแฟที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และกล้ามเนื้อ การศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกาแฟในการป้องกันและรักษาโรคส่วนใหญ่จึงมุ่งไปที่สารคาเฟอีนในกาแฟเป็นหลัก กาแฟชงสดจะมีคาเฟอีน 100-150 มิลลิกรัมต่อแก้ว ส่วนกาแฟที่ผ่านการลดคาเฟอีนนั้นก็ยังคงมีคาเฟอีนประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อแก้ว ทั้งนี้กาแฟที่ผ่านกระบวนการคั่วจนเข้มจะมีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟสีอ่อน
- ช่วยลด cholesterol ในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
- ช่วยทำให้ลดอาการง่วง ทำให้ตื่นตัว เหมาะสำหรับผู้ที่ขับรถหรือทำงานเป็นระยะเวลานานๆแล้วเกิดอาการง่วง
- ช่วยลดอาการปวดศีรษะผู้ที่มีปัญหาโรคไมเกรนสามารถดื่มได้ คาเฟอีนจะไปขยายหลอดเลือด-สามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะได้
- ช่วยสลายไขมันเร่งการเผาผลาญไขมัน เนื่องจากคาเฟอีนจะไปกระตุ้นเมทาบอลิซึมในร่างกายป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ การดื่มกาแฟจะช่วยกระตุ้นความทรงจำให้ดีขึ้นเพิ่มระดับฮอร์โมน G-CSF สารที่ช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์
- สารคาเฟอีนในกาแฟช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดเช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งลำไส้และมะเร็งตับ
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบบี
- กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว ทำให้อาหารถูกย่อยได้ดี
เมล็ดกาแฟคั่ว
ส่วนการคั่วเมล็ดกาแฟก่อนจะส่งต่อไปถึงบาริสต้าที่ชงกาแฟดื่มก็คือ การคั่วกาแฟหรือการทำให้เมล็ดกาแฟสุก กระบวนการนี้จะใช้การส่งผ่านความร้อนจากแผ่นเหล็กหรือลมร้อนไปสู่เมล็ดกาแฟ เพื่อทำให้เมล็ดกาแฟดิบที่มีสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปจนถึงสีดำขึ้นอยู่กับระดับการคั่วและการนำเมล็ดกาแฟนั้นๆไปใช้ ซึ่งการคั่วกาแฟ แบ่งหลักๆ ได้ 3 ระดับ ได้แก่ Light Roast (กาแฟคั่วอ่อน) – Medium Roast (กาแฟคั่วกลาง) – Dark Roast (กาแฟคั่วเข้ม)
- กาแฟคั่วอ่อน (Light Roast) : เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลอ่อน ผิวแห้ง
- กาแฟคั่วกลาง (Medium Roast) : เมล็ดกาแฟเฉดสีน้ำตาลกลางไปถึงเข้ม ผิวแห้ง
- กาแฟคั่วเข้ม (Dark Roast) : เมล็ดกาแฟสีเข้มจัดจนเกือบดำ และมีน้ำมันเคลือบผิวกาแฟจนเป็นเงา
เครื่องคั่วกาแฟ
เป็นการนำเมล็ดกาแฟดิบ (Green Bean) ผ่านกระบวนการคั่วโดยให้ความร้อน จากนั้นเราค่อยนำเมล็ดกาแฟมาบดละเอียดและทำการสกัดในรูปแบบต่างๆ คั่นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟสำคัญมาก เพราะต้องพิถีพิถันเพื่อให้ดึงเอากลิ่นและรสชาติของกาแฟตัวนั้นๆ ออกมา กาคั่วกาแฟให้มีรสชาติที่ดีจำเป็นต้องทำการฝึกฝน ทดลอง และพัฒนาตัวเอง เพื่อสั่งสมประสบการณ์ โดยเครื่องชงกาแฟมีด้วยกัน 3 ประเภท
- เครื่องคั่วประเภท Fluid Bed Roasters
- เครื่องคั่วประเภท Drum Roasters
- เครื่องคั่วประเภท Tangential Roasters
เป็นเครื่องมือ สำหรับ บดเมล็ดกาแฟ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการชงสกัดน้ำกาแฟ โดยเครื่องบดเมล็ดกาแฟ มีทั้งแบบอุตสาหกรรม และ แบบเครื่องบดมือหมุน พกพาไปใช้ตามที่ต่างๆได้ การบดกาแฟ ให้เหมาะกับการชงกาแฟ
เครื่องบดกาแฟ
- บดหยาบ : ใช้ชงด้วยกาชงกาแฟเฟรนด์เพรส French press เป็นการชงแบบแช่จะมีตะแกรงกรองด้านในกาเพื่อกรองเอากากกาแฟออกจากน้ำ ดังนั้นเราจึงใช้การบดหยาบ ถ้าบดละเอียดไปจะเป็นตะกอน
- บดปานกลาง : ชงกาแฟดริป หรือ แบบหยด ใช้สกัดแบบกรองน้ำกาแฟ filter brewers ด้วยการใช้ กระดาษกรองใส่ผงกาแฟ ใส่ลงไปในตะแกรงกรอง และ ค่อยเติมน้ำร้อนลงไปในกาแฟ
- บดละเอียดมาก : จะเป็นการบดเพือชงด้วยเครื่องชงเอสเปรสโซ่ espresso ด้วยการใช้แรงดันดันน้ำสกัดผ่านผงกาแฟ จะให้ปริมาณน้ำน้อยในการชง เราเลยใช้การบดละเอียดเพื่อให้น้ำไหลผ่านกาแฟได้มาก
- บดละเอียด : คล้ายเม็ดน้ำตาลหรือเกลือเมื่อคุณใช้นิ้วถูเมล็ดกาแฟ นิยมชงมอคค่าพอท Moka pot เป็นการสกัดกาแฟด้วยการใช้แรงดันจากไอความร้อน ให้ละเหยผ่านผงกาแฟ
บทความที่น่าสนใจ
อัฟโฟกาโต้
อัฟโฟกาโต้ อัฟโฟกาโต้ (Affogato) คือ กาแฟเอสเพรสโซ่ใส่ไ … อัฟโฟกาโต้ Read More »
Read Morefrenchpress
French Press การชงกาแฟแบบเฟรนช์เพรส ( frenchpress ) นั้ … frenchpress Read More »
Read More